WWW.AMNUAYSILPA.NET
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

กาทู้สาระ

+6
Thanankron 56
Keang56
Jo 9Leow
taey56
Leo56
Yoon
10 posters

หน้า 7 จาก 9 Previous  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  Next

Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Fri Feb 12, 2010 10:31 am

สุดยอดคำถาม...ที่คุณ ต้องรู้

กินหวานมากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ?

จริง เมื่อร่างกายมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิว ทำให้เกิดภาวะผิวเครียด นำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และเหี่ยวย่นในที่สุด

คนผิวแห้งมีโอกาสเกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ?

จริง เพราะคนผิวแห้งขาดซีบัม หรือสารไขมัน กลไกปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร คนผิวแห้งควรดูแลทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิว

เอาน้ำแข็งถูหน้า ก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ?

ไม่จริง แก้ปัญหาหน้ามันให้ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วใบหน้า ไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะแห้งไปภายใน 5-10 นาที ทำก่อนนอน หน้าก็หายมัน

สวมเสื้อผ้าหนาๆ ให้เหงื่อออกเยอะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ?

ไม่จริง เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมัน พอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็เท่าเดิม

การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ?

จริง การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆ ค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใส

การฝึกกลั้นหายใจ ชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ?

จริง การหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัยและรอยคล้ำได้

การร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ?

ไม่จริง หัวเราะต่างหากที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ถึง 20% ถ้าได้หัวเราะวันละสัก 10-15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานมาก ถึง 50 แคลอรี

ใส่กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำ ทำให้ขาใหญ่จริงหรือ?

จริง เพราะช่วงขาส่วนที่อยู่นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษให้เข้ากับสภาพอากาศ เมื่อผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Mon Feb 15, 2010 11:14 am

เทคนิค 5 เคล็ดลับ ขจัดเครียดเพื่อป้องกัน โรคช่วงนี้ใครมีปัญหาให้ขบคิดจนเกิดอาการเครียดๆ ไม่ต้องกังกล เพราะเรานำบทความ เกร็ดความรู้ สุขภาพ เทคนิค 5 เคล็ดลับ ขจัดเครียดมาฝากกันค่ะ เอาเป็นว่าไปอ่าน บทความ เกร็ดความรู้ สุขภาพ เทคนิค 5 เคล็ดลับ ขจัดเครียดเพื่อป้องกัน โรค กันนะคะ

ฝึกหายใจ: นั่งลงและเอนหลังกับพนักเก้าอี้ในท่าสบาย สูดหายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ วิธีนี้จะสามารถขจัดความเครียดออกไปได้

นวดฝ่าเท้า :ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงบนฝ่าเท้า แล้วนวดคลึงเบาๆ เพื่อคลายเส้นที่ปวดตึงโดยไล่จากส้นเท้าไปจนถึงปุ่มโคนหัวแม่เท้าแล้วจึงค่อยนวดวนออกไปด้านนอกฝ่าเท้า

น้ำช่วยได้ : แค่น้ำเปล่าเย็นๆ หรือน้ำส้มคั้นสดๆ จากตู้เย็นเพียงหนึ่งแก้ว ก็สามารถทำให้รู้สึกผ่อนคลายในยามเครียดได้อย่างประหลาด

กลิ่นหอมขจัดเครียด:น้ำมันหอมที่มีกลิ่นหอมสดชื่นที่เรารู้จักคุ้นหูกันดีในนามของ Aromatherapy สามารถช่วยคลายเครียดได้ เพียงเทน้ำมันหอมลงบนฝ่ามือแล้วนวดคลึงเบาๆ บริเวณขมับ ก็จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง

ขจัดความเมื่อยขบให้ลำตัว :เมื่อความเครียดรุมเร้าจะปวดไหล่ หลังและคอ ลองเปลี่ยนอิริยาบทง่ายๆโดยขยับตัวออกมานั่งตรงส่วนปลายของเก้าอี้ วางเท้าลงที่พื้นในท่าสบาย

จากนั้นวางมือขวาที่ต้นขาซ้ายแล้วเอื้อมมือซ้ายไปจับที่พนักเก้าอี้เหนือไหล่ขวา บิดตัวไปทางซ้ายช้าๆจนสุด พร้อมเป่าลมออกจากแก้ม สูดลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับหมุนตัวกลับไปในท่าตรง แล้วค่อยๆ ปล่อยลมออกทางปากจนกลับมาอยู่ในท่าตรง สลับทำแบบเดียวกันด้านขวาและทำหลายๆ รอบ
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Tue Feb 16, 2010 11:46 am

ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน


หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก "คุณคิดผิด" หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา "มิตร-ศัตรู" ให้เข้าใจกันชัด ๆ

"Good things come in pair" ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น

ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้าย คล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก "ความไม่รู้" ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ

แฝดที่ดี

เสมือนคู่บุญ ยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ หรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วย เพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้ครับ

1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย

2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่น ถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ

3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ

4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ

5) น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ

แฝดที่ร้าย

แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ “ตัวแม่” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาต หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รัก มาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ

1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ

2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้า ท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้

4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย

5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ

ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมาก ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อย ๆ เป็นตอนต่อไปในคอลัมน์นี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับ และท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที

เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหน แล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียวว่า กินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก

ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มาก เมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า "ไม่ใช่" แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Wed Feb 17, 2010 2:23 pm

12 เคล็ดง่าย เพื่อหน้าใสไร้ริ้วรอย (หนังสือ First)


1. ไม่ควรนอนดึกหรืออดนอน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยใช้เวลาช่วงกลางคืนหมดไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือทำงานก็ตามแต่ถ้าอยากหน้าใสไร้ริ้วรอย เมื่อถึงเวลาหัวค่ำแล้วก็ควรเข้านอนให้ตรงเวลาซะ หยุดกิจกรรมที่เคยชินเสียเดี๋ยวนี้ ร่างกายจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่


2. ควรดื่มน้ำในปริมาณอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ซึ่งน้ำในที่นี้ไม่นับพวกน้ำหวาน น้ำอัดลม แต่ต้องเป็นน้ำเปล่าที่สะอาด ไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป


3. ไม่ลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่ายๆ แค่ขยับปากพูดคำว่า “อา อี เอ โอ อู” แค่นี้กล้ามเนื้อหน้าก็จะได้รับการดูแลไม่ให้เหี่ยวย่น


4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด และเครื่องดื่มจำพวกน้ำชา กาแฟ อีกทั้งต้องงดการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่คือตัวอันตรายที่จะทำให้หน้าของคุณดูแก่เกินอายุ


5. หลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัด มีเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ก่อนวัยโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ถ้าหากจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดด ก็อย่าลืมใช้ครีมกันแดด SPF สูงๆ ทาป้องกันก่อนเดินทางออกจากบ้าน


6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ง่าย เช่น ในห้องแอร์ฯ ที่หนาวจัด ถ้าอยู่นานๆ ความเย็นที่ติดลบก็จะทำลายผิวหนังของคุณ


7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ ยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้ว คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะ แคะ บีบเกา บริเวณที่เป็นสิวอย่างเด็ดขาด


8. ความเครียดก็เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้หน้าคุณหมองคล้ำ ความเครียดเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องงาน เงิน ครอบครัว หรือความรัก เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญหาใดมารบกวนจิตใจคุณ ก็จงอย่างเครียด ค่อยๆ แก้ไขอย่างมีสติ และพยายามสงบใจไม่ให้เป็นทุกข์


9. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ก็ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษ ควรที่จะใช้โลชั่นที่มี AHA หาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามัน ก็แนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิดครีม


10. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน และคุณควรจำไว้ให้ขึ้นใจว่าทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงาน หรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรค ฝุ่นละอองต่างๆ มาตลอดทั้งวัน และการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นใบหน้าได้


11. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยให้คุณล้างมาสคาร่าหรืออายุแซโดว์ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคาญเคืองผิวซึ่งอาจนำไปสู่การกำเนิดสิว


12. หากคุณมีปัญหาเรื่องผิวหน้าไม่เรียบ หมองคล้ำ เป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นสิว เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับผิวหน้าจะดีกว่าไปนั่งปรึกษาตามเคาน์เตอร์เสริมความงามอย่างแน่นอน
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Thu Feb 18, 2010 11:09 am

ผู้หญิงแบบไหนที่ควรเลือกมาเป็นภรรยา
1. เป็นตัวของตัวเอง ควรพิจารณาคู่ครองที่มี ความเชื่อมั่นในตัวเองพอสมควร เพราะถ้าคุณตัดสินใจจะมีคู่ชีวิตสักคนแล้วต้องดูแลอีกฝ่ายเหมือนตัวเองเป็น พี่เลี้ยงเด็กตลอดเวลา ความรักที่มีอาจแปรเป็นความรู้สึกเหนื่อยล้าได้ แต่ถ้าบางครั้งที่เธอจะมาขอซบไหล่เพื่อร้องไห้ ก็เป็นเรื่องปกติ ตรงกันข้าม หากคู่ครองมี ความเป็นตัวของตัวเองสูง เชื่อมั่นในบุคลิกภาพและความเห็นของตัวเองมากเกินไป ชีวิตคู่อาจแตกหักได้ง่าย น่าจะพิจารณาคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองพอสมควร อยู่ได้ด้วยตัวเองทั้งฐานะการเงินและวุฒิทางอารมณ์ ถึงอยู่ห่างกันก็สามารถมีความสุขกับชีวิตโดยที่ยังคิดถึงกันและกัน

2. มีสติปัญญา ผู้หญิงที่สวยอย่างเดียว เมื่ออายุมากขึ้น จะแก่แล้วแก่เลย ต่างจากผู้หญิงที่มีสมอง แต่อาจจะสวยน้อยหน่อย ผู้หญิงลักษณะนี้มีอะไรใหม่ ๆ เบื้องหลังดวงตาช่างคิดให้ผู้ชายค้นหาอยู่เสมอ เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นของน่าเบื่อหน่ายง่าย ๆ

3. การมีเซ็กซ์ ควรมีรสนิยมที่ไปด้วยกันได้ เช่น ถ้าคุณมีรสนิยมแบบชื่นชอบความเจ็บปวด แต่คู่ครองนิยมความนิ่มนวล ปัญหาย่อมเกิดขึ้นแน่ ๆ คนจะเป็นคู่ชีวิตกันควรมีรสนิยมใกล้เคียงกัน ข้อนี้ไม่จำเป็นที่ผู้หญิงต้องรู้ทุกซอกทุกมุมที่จะทำให้ฝ่ายชายมีความสุข เพียงแต่ในเรื่องเซ็กซ์ระหว่างคุณสองคน ควรมีจุดที่ดึงดูดใจซึ่งกันและกันบ้าง และสามารถพูดคุยปรึกษากันได้ว่าชอบและไม่ชอบอะไร

4. ความสวย ความสวยขึ้นอยู่กับมุมมอง และทัศนคติของแต่ละบุคคล คนสวยของคุณอาจไม่สวยในสายตาคนอื่นก็ไม่เป็นไร เพราะคนที่เธอจะร่วมชีวิตด้วยคือคุณ คนอื่นไม่ได้มาร่วมชีวิตกับคุณด้วย

5. ความนับถือ คู่ชีวิตควรมีความเคารพนับถือในตัวคุณ หมายถึง ยินดีรับฟังความคิด แม้ว่าอาจจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ก็ยังยินดีฟังไว้ก่อน รวมทั้งไม่ดูถูกบุคลิกภาพของคุณทั้งในด้านนิสัยแม้แต่ด้านสรีระ คู่ครองที่ดีจะไม่ฉีกหน้าคุณต่อหน้าเพื่อน หรือครอบครัวของคุณ แต่จะรอจนกว่าจะกลับมาคุยกันในที่ส่วนตัว ผู้หญิงที่มีความเคารพนับถือในตัวสามี จะมีกิริยาน่ายกย่องและใจเย็นพอในหลายสถานการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี

6. ยอมให้สนุกแบบผู้ชาย เธอยินดีให้คุณสนุกแบบที่ผู้ชายสนุกกัน เช่น ยินดีให้คุณชวนเพื่อนสนิทมาร่วมนั่งเฮฮาเชียร์การถ่ายทอดสดฟุตบอลทีมโปรดที่บ้าน พร้อมกับเตรียมแซนด์วิช หรือของขบเคี้ยวให้ตามสมควร คู่ชีวิตควรเข้าใจถึงความสนใจที่แตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ยอมให้สามีเป็นตัวของตัวเอง เหมือนกับที่ผู้ชายควรเข้าใจเมื่อผู้หญิงต้องการเวลาออกไปช้อปปิ้งกับเพื่อนสนิทของเธอ

7. อย่าหาเรื่องจับผิด อย่าหาเรื่องจับผิด หญิงที่จะเป็นคู่ชีวิตที่ดีควรรู้ว่า สถานการณ์นี้จะทำให้ชีวิตครอบครัวหมดสิ้นซึ่งความสุข และเลือกวิธีอื่นได้ฉลาดกว่านี้ เธอจะรู้ว่าเมื่อใดควรพูด เมื่อใดควรปล่อยให้ผ่านไป แต่ถ้าสามีออกไปตะลอนนอกบ้านตลอดทั้งคืนโดยไม่โทรศัพท์บอกภรรยาสักคำ อย่างนี้ก็อย่าหวังว่าภรรยาแสนดีคนใดจะปล่อยให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปโดยง่าย

8. เข้ากับครอบครัวและเพื่อนได้ คู่ครองที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยงานในครัว แต่ต้องเข้ากับครอบครัวได้และออกไปร่วมสังสรรค์กับเพื่อนสามีได้ในยามที่เขาขอร้อง นี่แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำความรู้จักและรักบุคคลที่มีความสำคัญในชีวิตของสามี และไม่พยายามดึงสามีออกจากเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของเขา

9. เธอรักคุณ หากคุณพบผู้หญิงซึ่งรักคุณอย่างตัวตนที่คุณเป็นจริง ๆ คุณควรถนอมเธอเอาไว้ อีกวิธีหนึ่งที่จะดูว่าเธอรักคุณจริง ๆ หรือไม่ คือ สังเกตวิธีที่เธอมองและปฏิบัติต่อคุณทุก ๆ วัน ถ้าเวลาที่คุณไปเจอหน้าเธอ แล้วไม่ได้ทำให้เธอดูดีใจ เธอไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของคุณ เธออาจยังไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับคุณ เธอเห็นคุณเป็นเพียงผู้ชายทั่วไป แต่ถ้าเสียงโทรศัพท์จากคุณทำให้เธอตื่นเต้นดีใจ นั่นเป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่าเธอรักคุณ

10. เธอทำให้คุณอยากทำตัวดีขึ้นกว่าเดิม ผู้ชายซึ่งมีแฟนสาว หรือภรรยาที่ดีมักจะพูดกันว่า อยากให้เขาทำตัวดีขึ้นกว่าเก่า ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้เอ่ยปากขอหรือทำอะไรทั้งสิ้น และความรู้สึกที่ทำให้คุณอยากทำตัวเช่นนั้น เรียกว่า “ความรัก” นั่นเอง สาวคนไหนที่อ่านแล้ว อยากแต่งงานไว ๆ ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Fri Feb 19, 2010 10:23 am

มันมากับ “กาแฟ” ไม่ใช่คาเฟอีน!!
กาแฟเป็นทั้งอาหารเช้ากับอาหารว่าง บางครั้งกลายเป็นเพื่อนในยามดึกของหลายๆคนอีกด้วย อะคาท็อกซิน เอ Ochratoxin A ก็เป็นอีกพิษภัยที่มองไม่เห็น

สาร Ochratoxin A ทนความร้อน อุณหภูมิหุงต้มปกติ ไม่สามารถทำลายเจ้าสารพิษชนิดนี้ได้ มันชอบอยู่ในสภาวะที่มีความชื้นและมีอุณหภูมิระดับปานกลาง

มักพบปนเปื้อนอยู่ในเมล็ดธัญชาติ โกโก้ เมล็ดกาแฟ ชีส และผลไม้ อบแห้ง เช่น องุ่นอบแห้ง หรือที่เรียกว่า wine fruit

นอกจากนี้ ในบางครั้งยังพบในหมู และผลิตภัณฑ์จากหมู เช่น แฮม ไส้กรอก เบคอน ทั้งนี้ เนื่องจากหมูอาจกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของสารตัวนี้

เมื่อร่างกายได้รับสาร Ochratoxin A เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อ เนื่องจากขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง

นอกจากนั้น อาการติดเชื้อของไต (nephropathy) ที่เกิดจาก Ochra- toxin A จะนำไปสู่การเกิดการก่อลูกวิรูป เกิดเนื้องอกในต่อมไต และเกิดเนื้องอกที่ตับในหนูทดลอง แต่ไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์

ประเทศแคนาดาและประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปหลายประเทศ ได้สำรวจและเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารที่มีจำหน่ายภายในประเทศ ที่อาจปนเปื้อน Ochratoxin A นำมาวิเคราะห์

สำหรับปัจจุบันมีมาตรฐานการปนเปื้อนของสาร Ochratoxin A ในอาหารดังนี้

ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 197 พ.ศ.2543 กำหนดให้กาแฟสำเร็จรูปชนิดเหลว ไม่มีสารพิษจากจุลินทรีย์หรือสารเป็นพิษอื่นในปริมาณที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

มาตรฐาน codex ปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ปนเปื้อนในเมล็ดข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ดิบ และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเมล็ดข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ เท่ากับ 5 ไมโครกรัม/กิโลกรัม (report April 2002)

วันนี้สถาบันอาหารสุ่มตัวอย่างกาแฟสำเร็จรูปในท้องตลาด 5 ตัวอย่าง มีถึง 2 ตัวอย่างที่เกินมาตรฐานสูงมาก

เห็นกันอย่างนี้แล้ว คอกาแฟทั้งหลายคงต้องระมัดระวังกันเพิ่มขึ้น “มัน” ไม่ได้มีเฉพาะคาเฟอีนเท่านั้น......
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty 70 เรื่องจริง

ตั้งหัวข้อ  Yoon Sat Feb 20, 2010 2:32 pm

01. ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยเสมอ

02. หน้าหม้อ ไม่ได้แปลว่า จีบหญิงเก่ง คนจีบหญิงเก่งแล้วไม่โม้ก็มีถมไป

03. คนต่างชาติมาเมืองไทยเพื่อสักการะวัดพระแก้ว คนไทยไปยุโรปเพื่อไปสักการะร้าน GUCCI

04. คำว่า “จู๋” กะ “จิ๋ม” ไม่ได้เป็นคำหยาบ …สามารถพูดได้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม

05. ซื้อคอมใหม่ดีกว่า upgrade คอม เพราะไม่เกินครึ่งปี คุณก็จะเบื่อคอมเครื่องนั้นอยู่ดี

06. คนเราเปิด dictionary แล้วเราก็ลืมคำคำนั้นไป

07. ช่างกลนิสัยดีก็มี …แต่น้อย

08. ความอยากได้ของถูก ทำให้เราซื้อของราคาแพง

09. เราเรียกมันว่าน้ำหอม… แต่ฉีดมากก็เหม็น

10. ยุคนี้แล้ว พกแผ่น diskette เปล่าติดตัวไว้สักแผ่นนึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย

11. วัยรุ่นบางคนไม่อายที่จะเต้นท่าแปลกๆใน RCA แต่อายที่จะต้องซื้อถุงยางในร้าน 7-11 ที่อยู่แถวๆนั้น

12. “ประเทศกำลังพัฒนา” เป็นคำปลอบใจให้ประเทศที่ยังไม่พัฒนา

13. คนไทยหลายคนรู้จักตึก WTC ก็ตั้งแต่ตอนที่มันถล่มนี่แหละ

14. ข้อดีข้อเดียวของคนที่เลวสุดขั้วคือ มันทำให้เราดูดีขึ้นเมื่อไปเทียบกะมัน

15. อย่าตั้งความหวังว่าจะไปซื้ออะไรที่จตุจักร ให้ไปเดินดูของก่อนและค่อยนึกว่าจะซื้ออะไร

16. อย่าหลงกลพวก “โป๊มั้ยพี่” ที่โซนหนังสือจตุจักรเด็ดขาด ราคาสินค้าของมันซื้อแผ่น vcd ที่พันธุ์ทิพย์ได้ครึ่งโหล

17. ทุกวันนี้ เราหาซื้อ VCD ได้ง่ายกว่า VDO แล้ว

18. บางครั้งมิตรภาพในอินเตอร์เนทมันก็ยั่งยืนมากกว่ามิตรภาพในโลกความจริง

19. อย่าคิดจะหาแฟนในเนทเพราะคิดว่าเขาจะหล่อ หรือ เธอจะสวย

20. ข้อมูลที่คุณอยากรู้ มีอยู่ในอินเตอร์เนททั้งนั้นแหละ แต่คุณจะ search หามันเจอรึเปล่าเท่านั้นเอง

21. ถ้าคุณไม่โปรจริง … คุณจะไม่เจอเว็บโป๊ที่ไม่ต้องเสียตังค์

22. เครื่องคอมมันก็ระเบิดได้…

23. ผู้หญิงบางคนพูดคำหยาบมากกว่าผู้ชายอีกนะ …

24. บางอัลบั้ม …เพลงหน้า B เพราะกว่าหน้า A

25. อาหารในโรงแรมรสชาติมักไม่เอาไหน …

26. หนังฟอร์มยักษ์จะไม่สมบูรณ์ ถ้าไม่มีคนที่เรียกว่า “ตัวประกอบ”

27. และแน่นอนว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ PC ราคา 50000 บาทจะไม่มีค่าอะไร ถ้าคุณไม่ได้ซื้อเม้าส์กะคีย์บอร์ดราคา 500 บาทมาด้วย

28. แม่ค้าดีๆเขาไม่เอากระดาษมาปิดตาชั่งด้านนึงหรอก

29. หมามันก็ละเมอเหมือนเราน่ะแหละ

30. คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นเกย์ !!!

31. คนไทย copy ทุกอย่างที่ญี่ปุ่นบอกว่า “copy ไม่ได้” …

32. อาหารไทยเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก!!!!

33. อย่ารีบซื้ออัลบั้มเพลง RS รออีก 2 เดือนมันจะออกอัลบั้มขอบคุณแฟนเพลงเปลี่ยนปก พร้อม 2 เพลงใหม่

34. พนักงานร้านเซเว่นจะไม่ถามคุณว่า “รับhotdogทานเพิ่มมั้ยคะ” ถ้าคุณซื้อถุงยาง…

35. นอนตื่นสายไม่ได้ทำให้เราหายง่วง

36. นักวิจารณ์หนังไม่ใช่พระเจ้า …อย่าไปเชื่อมัน

37. ฝรั่งหลายคนรู้จักเมืองไทยเพราะสถานที่ที่เรียกว่า “พัฒน์พงษ์”

38. ดาราบางคนดังได้เพราะเธอกลัวส้มตำ

39. คนบางคนเต็มใจซื้อดอกไม้วันวาเลนไทน์ให้แฟนราคา 2500 บาท แต่อิดออดใจที่จะซื้อดอกมะลิแค่ 10 บาทให้แม่ตอนวันแม่

40. หัดใช้ hot key เวลาเล่นคอมบ้าง อย่าใช้เม้าส์อย่างเดียว

41. เราน่าจะเพิ่มความเร็วให้บันไดเลื่อน เพราะทุกวันนี้มีคนเดินบนบันไดเลื่อนเต็มไปหมด

42. อย่าเอาอะไรกับการ์ตูนมากเลย เขาสร้างขึ้นมาเพื่อ entertain” เรานะ

43. หน้าปกหนังสือวรรณกรรมต่างประเทศมักมีเพียงชื่อเรื่องและชื่อคนแต่ง แต่ถ้ามันถูกแปลเป็นภาษาไทย มันจะมีทั้งคำนิยมของบุคคลผู้มีชื่อเสียง ราคาและคำชวนเชื่อทั้งหลาย (harry potter เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน)

44. สารภาพมาซะ … คุณเคยฉี่ในสระว่ายน้ำ

45. เราไม่จำเป็นต้องขำตามเสียงหัวเราะ เวลาเราดู sitcom ใน UBC Series

46. คนผิวดำก็สวยและ sexy ได้

47. ถึงร้าน MK มันจะแพงแค่ไหน …เราก็เห็นคนนับร้อยต่อแถวรอกิน

48. สินค้า “MADE IN THAILAND” หลายอย่าง หาซื้อในประเทศไทยไม่ได้

49. ตั้งแต่เกิดมา ปากกาผ่านมือมานับร้อยด้าม แต่ใช้จนหมึกหมดด้ามไม่เกิน 20 ด้าม

50. รถเมล์ที่เราจะขึ้นมันจะไม่โผล่มาตอนที่เราต้องการหรอก แต่ถ้าวันไหนไม่อยากขึ้นนะ …วิ่งกันเต็มถนนเลย

51. จะมีสักกี่คนเชียวที่ใช้ function มือถือของตัวเองครบ”ทั้งหมด”

52. เศรษฐีบางคนใช้ PCT…แต่ salary man บางคนใช้ nokia 8850 (ที่ผ่อน 24 เดือน)

53. ก่อนสั่งอาหารไทยชื่อแปลกๆ ลองถามบ๋อยก่อนว่าหน้าตามันเป็นยังไง

54. บางครั้งคำปลอบใจก็ยิ่งทำให้เจ็บปวด

55. ความสุขกับความทุกข์มักมาด้วยกัน เพียงแต่อันไหนจะมาถึงก่อนแค่นั้นเอง

56. อเมริกาไม่ใช่ประเทศที่ประเสริฐเหมือนพระเจ้า จะไปศรัทธาเขาทำไม

57. หนังสือคอมส่วนใหญ่มักจะแพงเกินเหตุ

58. …แถมอ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่องอีกต่างหาก

59. ไม่ว่าคอมคุณจะเร็วสักเท่าไร ไม่เกินปีมันก็จะต้องเป็นคอมตกรุ่นอย่างเลี่ยงไม่ได้

60. ผู้หญิงที่หน้าเหมือน “นังชะนีทะเล” ในสายตาเรา อาจจะเป็น “นางฟ้า” ในสายตาเพื่อนเราบางคน…

61. การเล่นพนันจะทำให้เราได้เพื่อนและศัตรูเพิ่มขึ้นพร้อมๆกัน

62. บางครั้งเทคโนโลยีมักจะทำให้เราลำบากขึ้นกว่าเดิม

63. นักบุญของนักเล่นเนทคือคนทำเว็บแจกภาพโป๊ฟรี!!!

64. ไอติมโบราณ กาแฟโบราณ ก๋วยเตี๋ยวโบราณ ฯลฯ … มันก็คือของกินธรรมดานั่นแหละ

65. สักวันนึง…กระแสการกินเจคงจะบูมจนแมคโดนัลด์หันมาทำ happy meal เจ หลังจากมี แมคส้มตำแล้ว

66. ขณะที่เรากำลังละเลียดจิบเบียร์ที่ลานหน้า WTC …มีขอทานบางคนแถวนั้นกำลังจะหนาวตาย…

67. ขอสาบาน …ไอติมกะทิไผ่ทองถ้วยละ 10 บาทอร่อยกว่าไอติมฮาเก้น ดาซ ลูกละ 88 บาท

68. กะเทยมักให้คำปรึกษาด้านความรักได้ดี …เพราะมันเข้าใจทั้งชายและหญิง

69. บางคนจำวันเกิดเพื่อนได้ครึ่งห้อง แต่จำวันเกิดพ่อแม่ 2 คนไม่ได้

70. ร่างกายที่เข้มแข็งมักมาทดแทนจิตใจอันบอบบาง
Yoon
Yoon

จำนวนข้อความ : 878
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : Dubaiบุรี 元首相

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Mon Feb 22, 2010 10:19 am

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่าง ๆ


อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์>มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มี อาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือเป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียก ว่าซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไร กันแน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

****ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษ ทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำ คล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ ได้เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma)คือ เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะ มีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ ส่วนอันนี้เค้าฟอเวิร์ดติดมาด้วย –

ถึง ท่านผู้มีเมตตา ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิดสำหรับมะเร็งจะหายภาย ใน 6 วัน

วิธี รักษา - ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึงก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม ให้ดื่มจนหมดชาม

สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้ว ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน

ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty เรื่อง หำ หำ

ตั้งหัวข้อ  Yoon Tue Feb 23, 2010 1:55 pm

ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ได้นิยาม คำว่า "หำ" ไว้ว่า

หำ (ถิ่น-อีสาน, พายัพ) น. ลูกอัณฑะ, ไข่หํา หรือ หมากไข่หำ ก็เรียก.

นอกจากนี้แล้ว ถ้ามีคำขยายต่อท้าย ก็จะช่วยขยายคำว่า หำ ให้สามารถมโนภาพ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น

หำน้อย : ยุวหำ ที่ยังไม่โตเต็มวัย ทั้งนี้ อาจใช้เป็นสรรพนาม เรียกเด็กผู้ชายในภาษาอิสาน นั่นก็คือ บักหำน้อย ซึ่งหมายถึง ไอ้หนูน้อย
หำโปง : หำที่มีขนาดใหญ่
หำโต้น : หำที่มีความสมบูรณ์ แลดูมีน้ำมีนวล
หำโด่ : หำอารมณ์สุนทรีย์ พร้อมที่จะโ่ด่ เร มี ให้คุณบันเทิงเริงใจ
หำยาน : หำที่เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ ได้แต่ก้มหน้ามองดิน ไม่กล้าสู้หน้าใคร
หำเหลี่ยม : หำที่เปล่งรัศมีออร่า แวววับมันแผล็บมาแต่ไกล
หำแหล่ : หำผิวสี ที่ชอบเพลงฮิบฮ็อพ และ r&b
หำเหลิ่น : หำที่ได้รับบาดเจ็บ และถูกกระทำจนถลอกปอกโปกเปิก
หำแป้ด : หำไม่รักดี โผล่ออกมานอกกางเกง ให้เจ้าของหำขายขี้หน้าประชาชี มักพบบ่อยในหมู่บักหำน้อย ที่ไม่รู้จักใส่กางเกงใน
หำเคียว : หำแรด ชอบเจ้าชู้ยักษ์ ไปเกี่ยวคนนั้นทีคนนี้ที อยู่ไม่สุข
หำเหม็น : หำที่เจ้าของหำ ไม่รู้จักล้าง
หำหด : สภาพหำที่เกิดจากอากาศหนาว หรือ เกิดจากภาวะหวาดหวั่นของเจ้าของหำ
ผาหำหด : เป็นชื่อจุดชมทิวทัศน์บนเทือกเขาพังเพย อยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติไทรทอง จังหวัดชัยภูมิ สูงจากระดับน้ำทะเล 864 เมตร มองเห็นทิวทัศน์สวยงามรอบด้าน อากาศหนาวเย็นตลอดปี ... สำหรับที่มาของชื่อนั้น ผู้ตั้งชื่อ ผาหำหดก็คือ ผอ.อุทยานแห่งชาติไทรทอง ซึ่งให้เหตุผลว่า เวลาไปยืนบนผาซึ่งมีความสูงชัน ก็จะเกิดอาการสั่นกลัวจนหำหด ก็เลยตั้งชื่อว่า "ผาหำหด" (แล้วถ้าเป็นผู้หญิงไปยืนล่ะครับท่าน )


หมายเหตุ : สำหรับคนอิสานแล้ว หำไม่ใช่คำหยาบ เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กผู้ชายด้วยความเอ็นดู นอกจากนี้ ยังเป็นชื่อที่ถูกนำไปตั้งชื่อเป็นชื่อเล่นของบุตรหล านอีกด้วย
Yoon
Yoon

จำนวนข้อความ : 878
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : Dubaiบุรี 元首相

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Tue Feb 23, 2010 3:34 pm

Yoon พิมพ์ว่า:ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ได้นิยาม คำว่า "หำ" ไว้ว่า

หำ (ถิ่น-อีสาน, พายัพ) น. ลูกอัณฑะ, ไข่หํา หรือ หมากไข่หำ ก็เรียก.

นอกจากนี้แล้ว ถ้ามีคำขยายต่อท้าย ก็จะช่วยขยายคำว่า หำ ให้สามารถมโนภาพ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น

หำน้อย : ยุวหำ ที่ยังไม่โตเต็มวัย ทั้งนี้ อาจใช้เป็นสรรพนาม เรียกเด็กผู้ชายในภาษาอิสาน นั่นก็คือ บักหำน้อย ซึ่งหมายถึง ไอ้หนูน้อย
หำโปง : หำที่มีขนาดใหญ่
หำโต้น : หำที่มีความสมบูรณ์ แลดูมีน้ำมีนวล
หำโด่ : หำอารมณ์สุนทรีย์ พร้อมที่จะโ่ด่ เร มี ให้คุณบันเทิงเริงใจ
หำยาน : หำที่เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ ได้แต่ก้มหน้ามองดิน ไม่กล้าสู้หน้าใคร
หำเหลี่ยม : หำที่เปล่งรัศมีออร่า แวววับมันแผล็บมาแต่ไกล
หำแหล่ : หำผิวสี ที่ชอบเพลงฮิบฮ็อพ และ r&b
หำเหลิ่น : หำที่ได้รับบาดเจ็บ และถูกกระทำจนถลอกปอกโปกเปิก
หำแป้ด : หำไม่รักดี โผล่ออกมานอกกางเกง ให้เจ้าของหำขายขี้หน้าประชาชี มักพบบ่อยในหมู่บักหำน้อย ที่ไม่รู้จักใส่กางเกงใน
หำเคียว : หำแรด ชอบเจ้าชู้ยักษ์ ไปเกี่ยวคนนั้นทีคนนี้ที อยู่ไม่สุข
หำเหม็น : หำที่เจ้าของหำ ไม่รู้จักล้าง
หำหด : สภาพหำที่เกิดจากอากาศหนาว หรือ เกิดจากภาวะหวาดหวั่นของเจ้าของหำ
ผาหำหด : เป็นชื่อจุดชมทิวทัศน์บนเทือกเขาพังเพย อยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติไทรทอง จังหวัดชัยภูมิ สูงจากระดับน้ำทะเล 864 เมตร มองเห็นทิวทัศน์สวยงามรอบด้าน อากาศหนาวเย็นตลอดปี ... สำหรับที่มาของชื่อนั้น ผู้ตั้งชื่อ ผาหำหดก็คือ ผอ.อุทยานแห่งชาติไทรทอง ซึ่งให้เหตุผลว่า เวลาไปยืนบนผาซึ่งมีความสูงชัน ก็จะเกิดอาการสั่นกลัวจนหำหด ก็เลยตั้งชื่อว่า "ผาหำหด" (แล้วถ้าเป็นผู้หญิงไปยืนล่ะครับท่าน )


หมายเหตุ : สำหรับคนอิสานแล้ว หำไม่ใช่คำหยาบ เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กผู้ชายด้วยความเอ็นดู นอกจากนี้ ยังเป็นชื่อที่ถูกนำไปตั้งชื่อเป็นชื่อเล่นของบุตรหล านอีกด้วย

แม่นอีหลีบ่อ บักหำยูรรรรร Very Happy Very Happy
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Wed Feb 24, 2010 10:12 am

นิสัยที่ทำให้อ้วน

เราลองมานั่งพิจารณาดูว่า ไอ้ไขมันที่เพิ่มพูนส่วนหนึ่งมาจากนิสัยของเรานี้เอง นิสัยที่กล่าวถึงเราลองมาสังเกตนิสัยการกินของเรากันเถอะ
1. กินข้าวเร็ว – การกินข้าวเร็วมาก แทบจะไม่เสียเวลาเคี้ยว กินแล้วกลืน คนอื่นยังกินอยู่ เราก็เรียบร้อยแล้วจานแรก ทำไงละคราวนี้ ก็ไปเบิ้ลจานสองสิ เขาว่ากินข้าวเร็วกระเพาะยัง ไม่ทันรับรู้ถึงความรู้สึกอิ่มเลย ดังนั้นค่อยๆกิน ไม่ได้จะรีบไปไหน จะให้ดี ก็ทานน้ำเยอะหน่อย จะได้อิ่มไวๆ

2. ดูโทรทัศน์ไป กินไป – นี้ก็เป็นสาเหตุใหญ่อีก เวลาดูกีฬา ถ้าจะให้สนุกต้อง โค๊กกับเลย์ค่ะถึงจะเชียร์กีฬาสนุก แล้วเจ้า 2 ตัวนี้ ต่างก็แคลอรีสูงทั้งคู่เลย ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 500 แคลอรี นี้เฉพาะอาหารว่างนะค่ะ แล้วที่กินเป็นอาหารหลักละ ไปแล้วเท่าไร ไม่อ้วนให้มันรู้ไป ของพวกนี้ เรียกว่า กินแล้วไม่ค่อยคำนึง เพราะกินไปเรื่อยๆมาเรียงๆ หมด ก็ไปเอามากินอีก ลองเปลี่ยนใหม่ ได้ไหมว่า เชียร์กีฬาไป กินผลไม้ไป เป็นการเชียร์กีฬาเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง อ้อ ส่วนเครื่องดื่ม น้ำเปล่าค่ะ

3. เสียดายของ – ก็ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กค่ะว่า กินข้าวจะต้องกินให้หมดจานอย่าเหลือ ทิ้งไว้ สงสารชาวนาที่ปลูกข้าว เต็มไปด้วยความยากลำบากกว่าจะได้ข้าวมาเม็ดหนึ่งพอเรากิน แม้จะอิ่มแล้วแต่ก็ต้องกินให้หมด เฮ้อ บางทีนะดิฉันว่าลดความสงสารชาวนาลงหน่อย สงสารตัวเรา มากขึ้นพออิ่ม ก็คือ อิ่ม ไม่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมขนาดต้องกินให้หมดบางทีเห็นน้องๆกินเหลือ ยังไปช่วยเหลือเอามากินอีกให้หมด ต้องมาเสียเงินสำหรับลดน้ำหนักมากกว่าอีก

4. เครียดแล้วกิน – อันนี้ดิฉันว่าเป็นโรคจิตแบบหนึ่งเลยนะ ประเภทประมาณว่าประชด อะไร ไม่พอใจ เครียด ก็เอาอาหารเป็นที่ระบาย กินเอากินเอา อย่างอกหัก แทนที่จะกินข้าวไม่ลง ไม่เลย บอกตัวเองว่า กินเข้าไป กินเข้าไป กินมันให้ท้องแตกตายไปเลย สุดท้ายไม่ตายค่ะแต่มานั่งกลุ้มใจกับน้ำหนักที่เพิ่มพูนขึ้น

5. ให้รางวัลโดยการกิน – นี้ก็เป็นนิสัยหนึ่งที่ชอบนัก เวลาเราดีใจ หรือทำอะไรประสบความสำเร็จ ต้องมีการนัดฉลองกันหน่อย กินฉลองสอบได้ กินฉลองได้ลูกค้าใหม่ กินฉลองวันเกิด กินฉลองวันเข้าพรรษา กินฉลองมันได้ทุกวัน ลองเปลี่ยนวิธีการให้รางวัลเป็นแบบของขวัญ หรือไปเที่ยว หรืออะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องมาโยงกับการกิน ดีไหม

6. กินอาหารคาว ต้องตามด้วยของหวาน – ไม่รู้ทำไมต้องเป็นสูตรแบบนี้ เหมือนตอนอยู่โรงเรียนจำได้ว่า พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ จะต้องตามด้วยของหวาน พวกกล้วยบวดชี บวดฟักทอง ถั่วดำ และอีกสารพัด กินแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง ลองเปลี่ยนของหวานเป็นผลไม้ดีกว่า แอปเปิ้ล ฝรั่ง แตงโม และอีกเยอะแยะค่ะ

7. ต้องเอาให้คุ้ม – ไปกินบุปเฟ่ต์ กินเท่าไรก็ได้ อย่างนี้ต้องกินให้เยอะๆ เอาให้คุ้ม ตักพูนจาน กินจนหมด อิ่มแล้ว แต่ยังไม่คุ้ม ไปตักเอามากินอีก นี้ถ้าไม่เกรงใจ จะเอาใส่ถุงพลาสติกกลับบ้านอีกนะนี้นะ อย่างบุปเฟ่ต์ของร้านไดโดมอน ชอบเป็นชีวิตและจิตใจ กินเข้าไป กินเข้าไป พอหันกลับมา เอ๊ะทำไมจานเนื้อจะท่วมมิดเราแล้วนะนี้ พอๆ เลิกนิสัยแบบนี้เถอะ ไม่ต้องเอาให้คุ้มนักหรอก สงสารร้านเขาบ้าง
ไม่ใช่กินให้คุ้มแล้วแบบนี้ เป็นการกินให้ร้านเขาเจ๊งมากกว่า

8. ยอมแพ้อะไรง่ายๆ – คือ หลายครั้งที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก พอมันไม่ค่อยลด ก็ท้อใจ หันกลับไปกินมากเหมือนเดิม แถมยังยอมรับอย่างน่าสลดว่า ความอ้วนยังไงก็ต้องอยู่ติดตัวคู่กับเราไปทั้งชีวิตแน่ๆ อย่าค่ะ อย่าไปเชื่อยังงั้นสิ สู้ๆเข้าไป สู้เข้าไป มันลดได้สิ ยอมแพ้วันนี้ก็ต้องแพ้ มันไปตลอดกาล แต่หากสู้ เราก็ยังมีหวังเอาชนะได้ค่ะ

9. ออกกำลังกายแล้วกินเยอะขึ้น – เป็นกันหลายคนจริงไหม คิดแต่ว่า เวลาออกกำลังกาย เราก็ใช้พลังงานไปเยอะแล้วนะ ให้รางวัลหน่อย กินเยอะขึ้นกว่าเดิม อ้วนค่ะ ที่ออกไปคืนมาหมด เรียกว่าเป็นพวกออกสลึง กินบาท น่าเสียดายจริงๆ หลายคนคิดว่า เอ๊ะ การออกกำลังกายทำให้ กินเยอะขึ้นหรือเปล่า ตอบเลยว่า ไม่จริงค่ะ ที่กินเยอะ เป็นเรื่องของจิตใจเรามากกว่า ยกตัวอย่าง หากออกกำลังกายโดยการวิ่ง 1 ชั่วโมง อย่างมากก็ประมาณ 600 แคลอรี จำนวนเท่านี้ หากกินเลย์กับโค๊ก มันก็เกิน 600 แคลอรีแล้วละค่ะ
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Thu Feb 25, 2010 10:52 am

นอนเถอะค่ะ... แล้วพรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีเอง คำพูดนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล แต่เชื่อเถอะว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะการหลับสนิทในช่วงที่ร่างกายต้องการพักผ่อนคือการชาร์จพลังที่ดีที่สุด ที่มอบคุณประโยชน์มหาศาลทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา
น่าตกใจกับผลการวิจัยในสหรัฐอเมริกาชิ้นหนึ่งที่พบว่าเมืองนิวยอร์กทั้ง เมืองล้วนเต็มไปด้วยสาวก Sleepless Society คนนอนไม่หลับมากมาย ในจำนวนนี้ยังได้หมายรวมไปถึงกลุ่มคนที่พยายามจะนอนให้หลับ และกลุ่มคนที่เทคยานอนหลับด้วย จากการแยกแยะวิเคราะห์พฤติกรรมและผลกระทบยืนยันว่า คนส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งมีความเคร่งเครียดหลักจากสภาวะกดดันเรื่องความก้าวหน้าในการงาน และค่าครองชีพ การนอนไม่หลับอันเนื่องจากไม่รู้จัก Shut Down ความคิดที่วนเวียนในสมองนี้ ยังส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า หดหู่ ที่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย และเมื่อเป็นอย่างนี้นานเข้า มันก็จะเริ่มก่อตัวเป็นวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุด นั่นคือ เครียด-นอนไม่หลับ-หดหู่ซึมเศร้า-ขาดพลังงานและความคิดสร้างสรรค์-ผลงานไม่ น่าประทับใจ-วิตกจริต และกลับมาสู่วงจรแห่งความเครียดซ้ำซ้อน นักวิชาการทั่วโลกต่างออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า... นี่คือมหันตภัยทางจิต ของเวิร์กกิ้งแมนและวูแมนทั่วโลกแห่งปี 2008 ที่น่ากลัว
....................................................

9 Checks, Are You A Sleepless Society? ลองมาเช็กดูกันดีกว่าว่าวันนี้คุณมีอาการเข้าใกล้วงจรนอนไม่หลับแค่ไหน...คุณมีอาการแบบนี้หรือเปล่า



....................................................
10 Ways to Sleep Well
ใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ 10 คำแนะนำเหล่านี้ 1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย
2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก
3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า
4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน
5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้
6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง
7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน
8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น 9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว
10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว สมองคืออาวุธที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อถูกนำมาใช้ในเวลาที่แจ่มใสที่สุด ดังนั้น ถ้าใครยิ่งต้องการความก้าวหน้า และความเฉียบแหลม จึงยิ่งต้องบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการรู้จัก...ใช้เมื่อพร้อมถึงขีดสุด และหยุดดูแลเมื่อเต็มล้า
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Tue Mar 02, 2010 1:39 pm

อาการละเมอ เกิดจากอะไร

บางคนเชื่อเอามากว่าการละเมอเป็นเรื่องลึกลับแปลกประหลาด แสดงปรากฏการณ์ต่างๆ อย่างเหนือธรรมชาติออกมาอย่างเร้นลับ
ความจริงแล้วในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น เราเก็บกดสิ่งที่เราอยากจะพูด แต่พูดไม่ได้ เพราะเหตุผลแวดล้อมหลายอย่าง การแสดงออกตามใจตนเองก็ถูกระงับไว้ตามความเหมาะสม สิ่งที่เก็บกดไว้จึงนำมาแสดงออกในเวลากลางคืน ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดออกมา เพราะระหว่างนอนหลับนั้นเราปลดปล่อยความรู้สึกนึกคิดออกมาตามจิตใต้สำนึก ไม่อาจควบคุมได้ สิ่งที่เก็บกดไว้จึงปรากฏออกมา
แต่ถ้าเก็บกดจนติดเป็นนิสัย กดจนแน่นและไม่ปรากฏออกมา แม้ในระหว่างนอนหลับ ผลสุดท้ายก็อาจกลายเป็นภาพแปรปรวนจนกลายเป็นโรคทางจิตได้ ทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขอาการนอนละเมอ หรือพูดละเมอในยามหลับ คือมีอะไรอยู่ในใจก็ควรพูดก่อนอย่าเก็บกด อย่าก้าวร้าวเงียบโดยปิดปากตัวเอง
นี่คือคำตอบว่าทำไมคนถึงนอนละเมอ คืนนี้อย่าลืมสังเกตคนข้างๆนะครับว่าละเมออะไร

ที่มา วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Yoon Tue Mar 02, 2010 3:52 pm

กาทู้สาระ - Page 7 Imagefc844b8a7725
Yoon
Yoon

จำนวนข้อความ : 878
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : Dubaiบุรี 元首相

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Wed Mar 03, 2010 10:15 am

ธรรมะเพื่อความรุ่งเรือง
ตักบาตรพระล้านครั้ง ไม่เท่ายื่นอาหารให้พ่อแม่ครั้งเดียว

ความดีของลูก คือ ความสุขของพ่อแม่ ความเลวของลูก คือ ความทุกข์ของพ่อแม่

หลงผัว หลงเมีย จนลืม พ่อแม่ นับว่าแย่กว่า

อยากรวยให้ทำงานวัด อยากสวย รักษาศีล อยากดี ให้หมั่นเจริญภาวนา

คนฉลาด กำลังทำงาน ส่วนคนโง่ กำลังดูฤกษ์ยาม

หนึ่งวินาที คบบัณฑิต ดีกว่าหนึ่งปี คบคนพาล

อย่าประมาณเมื่อพบงานง่าย อย่าท้อใจเมื่อพบงานยาก

ทำตนคนรัก อวดนักคนชัง (อวดดี...ไม่ใช่การอวดที่ดี)

เสริมเสน่ห์ตนเองด้วยรอยยิ้ม ดีกว่าการพึ่งพิงสิ่งศักด์สิทธิ์

ไม่ควรไว้ใจในคนที่ชอบทำบาป ถ้าทำบาปแลกบุญจะจากทุนร่ำไป

คนจนยิ่งจน เพราะทำรวย คนรวยยิ่งรวย เพราะทำจน

เรายอมแพ้คนเพื่อเอาชนะกิเลส ดีกว่ายอมแพ้กิเลส เพื่อเอาชนะคน

ยามไปซื้อของ อย่าอวดเงินทองให้ใครเห็น

คำสรรเสริญควรให้ไป คำติชมควรเก็บไว้เพื่อส่องตน

ระวังอย่าให้สูญเสียคนดี เพราะคนชั่วทดแทนไม่ได้

คนโง่แสวงหาพระเครื่อง คนฉลาดแสวงหาพระธรรม

ทำแบบเจ็ก จากเล็กไปหาใหญ่ ทำแบบไทย จากใหญ่ไปหาเล็ก

มารยาทงามนี่แหละ จะพลอยทำให้วาสนาดี

เพื่อนบ้านที่ที่อยู่ใกล้ ดีกว่าพี่น้องในไส้ที่อยู่ไกล

ประดับกายด้วยความดี มีราศีกว่าประดับเพชร

กินเหล้าเพื่อเข้าสังคม คือค่านิยมที่ผิด

ความรวยหากขอกันได้ โลกนี้คงไม่มีคนจน

ทรัพย์เกิดไม่ได้ด้วยเพียงแต่ใจคิดฝัน

ตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอน การปฎิบัติดี มีค่ามากกว่าการขอพร

คนขยันคือคนโชคดี ความขยันจึงเป็นพรอันประเสริฐ

ถึงแม้การเลือกเกิดเราจะไม่มีสิทธิ์ แต่การเลือกทางเดินชีวิต เป็นสิทธิ์ของเรา

อย่าเชื่อคนโดยไร้ความคิด อย่าหลงมิตรเพียงคำยอ

ที่ที่ทำดีไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ (ทำดีวันละนิด ดีกว่าคิดจะทำ)

เมื่อมีคำขอโทษ ความโกรธย่อมจางเร็ว

วาจาอ่อนหวานลูกหลานใกล้ชิด วาจาเป็นพิษญาติมิตรห่างไกล

กินเพื่ออิ่ม ก็จะมีปัญหาน้อย แต่ถ้ากินเพื่ออร่อย ก็จะมีปัญหามาก
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Thu Mar 04, 2010 11:02 am

นวดคลายเครียดด้วยตนเอง

การนวด เป็นวิธีการคลายเครียดวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง โล่งสบายตัว เหมาะสำหรับคนที่มีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยไหล่ หลัง และต้นคอ

นวดคลายเครียดด้วยตนเอง มีหลักการง่าย ๆ คือให้ใช้ปลายนิ้วที่ถนัดทำการกด ซึ่งการกดในที่นี้หมายถึง การกดและการปล่อยผ่อนคลาย ทำการกดนานครั้งละ 10 วินาที แต่ใช้เวลาปล่อยผ่อนคลายนานกว่าเวลากด การกดต่อจุดควรนวดซ้ำ 3-5 ครั้ง

สำหรับตำแหน่งกดนวด มีดังนี้

1. จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ใช้นิ้วที่ถนัด กด 3 - 5 ครั้ง
2. จุดใต้หัวคิ้ว ใช้ปลายนิ้วที่ถนัดกด 3 - 5 ครั้ง
3. จุด ขอบกระดูกท้ายทอย จะมีอยู่ด้วยกัน 3 จุด จุดกลางให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ กด 3- 5 ครั้ง ส่วนจุดสองจุด ด้านข้างให้ใช้วิธีการประสานมือบริเวณท้ายทอยแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสอง ข้างกดจุดพร้อมๆกัน 3-5 ครั้ง
4. บริเวณต้นคอ ประสานมือบริเวณท้ายทอย ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง กดตามแนวสองข้างของกระดูกต้น คอ โดยกดไล่จากบริเวณตีนผมลงมาถึง บริเวณบ่า 3 -5 ครั้ง
5. บริเวณบ่าใช้ปลายนิ้วมือขวาบีบไหล่ซ้าย ไล่จากบ่าเข้าหาต้นคอ ใช้ปลายนิ้วมือซ้ายบีบไหล่ขวา ไล่จาก บ่า เข้าหาต้นคอ ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
6. บริเวณ บ่าด้านหน้า ใช้นิ้วหัวแม่มือกดจุดใต้กระดูกไหปลาร้า จุดต้นแขนและจุดเหนือรักแร้ของบ่าซ้าย ใช้ นิ้วแม่มือซ้ายกดจุดเดียวกันที่บ่าขวาทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
7. บริเวณ บ่าด้านหลัง ใช้นิ้วที่ถนัดของมือขวาอ้อมไปกดจุดบนและจุดกลางของกระดุกสะบักและจุด รักแร้ ด้านหลังของบ่าซ้าย ใช้นิ้วที่ถนัดของมือซ้ายกดจุดเดียวกันที่บ่าขวา ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง

7 วิธีนวดทำได้ไม่ยาก ถ้าทำได้ทุกวันจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและหลังผ่อนคลายลง
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Tue Mar 09, 2010 12:02 pm

วันนี้มีวิธีการใช้น้ำอย่างประหยัดและถูกวิธีมาฝาก...

- การอาบน้ำ
การใช้ฝักบัวจะสิ้นเปลืองน้ำน้อยที่สุด รูฝักบัว ยิ่งเล็ก ยิ่งประหยัดน้ำ ปิดฝักบัวในขณะที่ถูสบู่ จะใช้น้ำเพียง 30 ลิตร หากไม่ปิดจะใช้น้ำถึง 90 ลิตร และหากใช้อ่างอาบน้ำจะใช้น้ำถึง 110-200 ลิตร

- การโกนหนวด
โกนหนวดแล้วใช้กระดาษเช็ดก่อน จึงใช้น้ำ จากแก้วมาล้างอีกครั้ง ล้างมีดโกนหนวดโดยการ จุ่มล้างในแก้ว จะประหยัดกว่าล้างโดยตรงจากก๊อก

- การแปรงฟัน
การใช้น้ำบ้วนปากและแปรงฟันโดยใช้แก้ว จะใช้น้ำเพียง 0.5-1 ลิตร การปล่อยให้น้ำไหล จากก๊อกตลอดการแปรงฟัน จะใช้น้ำถึง 20-30 ลิตรต่อครั้ง

- การใช้ชักโครก
การใช้ชักโครกจะใช้น้ำถึง 8-12 ลิตร ต่อครั้ง เพื่อการประหยัด ควรใช้ถุงบรรจุน้ำมาใส่ในโถน้ำ เพื่อลดการใช้น้ำ โถส้วมแบบตักราดจะสิ้นเปลืองน้ำน้อยกว่าแบบชักโครกหลายเท่า หากใช้ชักโครก ควรติดตั้งโถปัสสาวะและโถส้วมแยกจากกัน

- การซักผ้า
ขณะทำการซักผ้าไม่ควรเปิดน้ำทิ้งไว้ตลอดเวลา จะเสียน้ำถึง 9 ลิตร/นาที ควรรวบรวมผ้าให้ได้มากพอต่อการซักแต่ละครั้ง ทั้งการซักด้วยมือและเครื่องซักผ้า

- การล้างถ้วยชามภาชนะ
ใช้กระดาษเช็ดคราบสกปรกออกก่อน แล้วล้างพร้อมกันในอ่างน้ำ จะประหยัดเวลาประหยัดน้ำ และให้ความสะอาดมากกว่าล้างจากก๊อกโดยตรง ซึ่งจะสิ้นเปลืองน้ำ 9 ลิตร/นาที

- การล้างผักผลไม้
ใช้ภาชนะรองน้ำเท่าที่จำเป็น ล้างผัก ผลไม้ ได้สะอาดและประหยัดกว่าเปิดล้างจากก๊อกโดยตรง ถ้าเป็น ภาชนะที่ยกย้ายได้ ยังนำน้ำไปรดต้นไม้ได้ด้วย

- การเช็ดพื้น
ควรใช้ภาชนะรองน้ำและซักล้างอุปกรณ์ใน ภาชนะก่อนที่จะนำไปเช็ดถู จะใช้น้ำน้อยกว่า การใช้สายยางฉีดล้างทำ ความสะอาดพื้นโดยตรง

- การรดน้ำต้นไม้
ควรใช้ฝักบัวรดน้ำต้นไม้แทนการใช้ สายยางต่อจากก๊อกน้ำโดยตรง หากเป็นพื้นที่บริเวณกว้าง ก็ควรใช้ สปริงเกลอร์ หรือใช้น้ำที่เหลือจากกิจกรรมอื่นมารดต้นไม้ ก็จะช่วย ประหยัดน้ำลงได้

- การล้างรถ
ควรรองน้ำใส่ภาชนะ เช่น ถังน้ำ แล้วใช้ผ้าหรือเครื่องมือล้างรถจุ่มน้ำลงในถัง เพื่อเช็ดทำความสะอาดแทนการ ใช้สายยางฉีดน้ำโดยตรง ซึ่งจะเสียน้ำเป็นปริมาณมากถึง 150-200 ลิตร/ครั้ง

รู้อย่างนี้แล้ว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำอย่างถูกวิธี เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากรแถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย.
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Thu Mar 11, 2010 11:44 am

100ข้อคิดสั้นๆแต่ความหมายโดนใจ
1. เอาใจเขามาใส่ใจเรา
2. เชื่อมั่นตัวเอง
3. อย่ามองคนที่หน้าตา
4. กล้าคิด พูด และทำ
5. เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
6. และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
7. อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด
8. ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
9. เปิดใจให้กว้าง
10. มองการณ์ไกล
11. วางแผนอนาคต
12. อย่าโทษตัวเอง
13. มีความรับผิดชอบ
14. ตอบแทนเมื่อได้รับ
15. ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี
16. อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
17. คิดถึงส่วนรวมให้มาก
18. ดูแลตัวเองให้เป็น
19. รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
20. อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
21. อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว
22. จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
23. ที่ทำอยู่มีผลดี ผลเสีย มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์
24. อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
25. ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น
26. อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
27. คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร
28. ได้หน้าอย่าลืมหลัง
29. คุณไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึก แต่จงวางแผนที่จะดูแลมันไม่ให้เสีย
30. อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ
31. อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
32. รู้จักแบ่งเวลา และหน้าที่
33. ทำประโยขน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Thu Mar 11, 2010 11:45 am

34. อย่าเห็นแก่ตัว
35. อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง36. อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
37. กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง
38. เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก็คุยกันได้
39. อย่าคิดว่าเขาไม่โทร.มา ถ้าคุณก็ไม่เคยโทร.ไป
40. จงเป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ41. ดูแลบิดามารดาให้ดี คุณมีโอกาส รีบทำซะก่อนที่จะไม่มี
42. อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุณสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้
43. คำพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ดังนั้น คิด ก่อนพูด
44. อย่าทุ่มเทในสิ่งที่ไร้ประโยชน์
45. คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด46. ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
47. หาจุดหมายให้กับชีวิต
48. เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
49. ถ้างง เขียนหนังสือได้ แต่เขียนให้เป็นภาษา
50. วันๆ หนึ่งคุณทำอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ กิน นอน เล่น51. ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ
52. เพื่อนคุณก็เช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
53. ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
54. คุณซื้อนาฬิกาได้ แต่คุณไม่สามารถซื้อเวลาได้
55. ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่รึเปล่า ถ้ามีกลับไปหาซะ56. ตอนนี้คุณคอยใครอยู่รึเปล่า จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ทำอะไรซะบ้าง
57. อย่ากล่าวคำขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆ ตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามไปขอโทษ
58. ตอนคุณลำบากคุณคิดถึงใคร คุณอยากให้ใครช่วยเหลือ
59. ตอนนี้คุณกำลังสบายอยู่ แล้วคนที่คุณเคยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ
60. ไม่ใช่ แล้วไง ต้องให้บอกต่อมั้ย
61. ทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของคนอื่น
62. ตอนที่คุณกำลังอ่านประโยคนี้ จงจำไว้ว่าคุนเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิตอยู่
63. ใครเป็นคนทำให้คุณมีชีวิต ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง
64. ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกเขาว่ารักก็เพียงพอแล้ว
65. อย่ารอให้ถึงวันกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
66. ไม่มีกฏหมายข้อใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Thu Mar 11, 2010 11:46 am

67. ถ้าเป็นคุณอยู่ดีๆ มีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุณจะรู้สึกดีมั้ย หรือดูที่ราคาขนม
68. เหล้าทำให้คุณลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุณลืมเรื่องร้ายๆ ได้ตลอดชีวิต
69. อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆ ถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุณยังมีคนพิมพ์คนนี้อีกคน
70. อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด71. อย่าพูดว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้าคุณก็ไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
72. เหนื่อยนักก้อหยุดพักซะบ้าง
73. อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุณก็เป็นคน เพียงแต่คุณยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
74. ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปอยู่ในตัวคุณ
75. คุณมองเพชรที่ความงามภายใน หรือที่ป้ายราคาภายนอก76. ถ้าคุณกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
77. มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้
78. ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่เเทงมาจากข้างหลัง
79. การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
80. ทำยังไง ต้องให้ขโมยขึ้นบ้านก่อน ถึงไปดูรั้วบ้านใช่มั้ย
81. ทำใจกับสิ่งต่างๆ ล่วงหน้าไว้บ้างก็ดี
82. จะยกตัวอย่าง สมมติคนที่คุนรักจากไปตอนนี้ คุนคิดว่า คุนทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง
83. อย่าตอบว่าทำยังไงก็ตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
84. คุณทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คุนไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก้อไม่ฟื้นมาได้ยินหรอกนะ
85. ตัวคุณมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้หรือเปล่า
86. หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากมายที่คุณยังไม่รู้
87. ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิต
88. การใส่เสื้อสวยๆ ไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
89. หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
90. ลองทำอะไรบ้าๆ บ้างก้อดี อย่ายึดติดนักเลย

91. ผู้พิมพ์ไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุณได้รู้อะไรไว้บ้างก็ดี
92. สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆ ไปในชีวิตหรือเรื่องที่คุณเห็นว่าไม่สำคัญ กลับมาดูเเลตรงนั้นบ้างก้อดี
93. อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก้อดี
94. อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว
95. ยาเสพติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
96. อย่าทำตามเพื่อนเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขาต่างกับร่างกายเรา แน่นอนจิตใจก็เหมือนกัน
97. ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชาย ผู้หญิงยังไงก็คือผู้หญิง
98. บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
99. ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่เเท้จริง
100. จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Fri Mar 12, 2010 2:46 pm

วิธีแก้ไขปัญหา "หน้ามันเยิ้ม"

เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์, ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม

*ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ*

เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง

*ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ*

รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง

*การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน*

1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก

2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย

3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น

ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น



ที่มา : heyhaparty
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Mon Mar 15, 2010 2:24 pm

มาออกกำลัง(กาย)บนเตียง กันเถอะ
ฮั่นแน่! รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ อย่าเพิ่งคิดมาก วันนี้เรามาชวนเพื่อน ๆ ออกกำลังกายอีกวิธีหนึ่ง ที่ไม่ต้องเหนื่อย แถมไม่ต้องยืนอีกด้วยสิ ก็ออกกำลังกายบนเตียง หรือบนที่นอนนุ่ม ๆ ของเรานั่นแหละ วิธีนี้ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่ สะดวกและสบายที่สุดก็ว่าได้ โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ที่ขยันน้อย มีเวลาว่างม้ากกกก แต่ขี้เกียจออกกำลังกาย เป็นเรื่องเป็นราว การออกกำลังกายบนเตียงวิธีนี้แหละ เหมาะสำหรับเพื่อน ๆ มากที่สุด...

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมก็คือ
1. หมอนหนุนหัว สำหรับนำมาใช้หนีบที่เข่า อันนี้เพื่อนป้องกันไม่ให้ขณะบริหารร่างกายขา แยกออกจากกัน
2. ขวดน้ำดื่ม หรือขวดน้ำอัดลมก็ได้ อันนี้เอาไว้ใช้แทนดรัมเบลล์ สำหรับบริหาร กล้ามเนื้อแขน ให้กระชับขึ้น
3. ผ้าเช็ดตัว ช่วยทำให้ขาและน่องตึง

ท่าที่ 1 ท่าหนีบหมอนบนเตียง บริหารหัวเข่า
นั่งลงกลางเตียง วางมือทั้งสองข้างลงข้างตัว ชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง หนีบหมอนไว้ที่เข่า

ท่าที่ 2 ท่าหนีบหมอน บริหารปลายขา
นั่งริมเตียง วางมือทั้งสองข้างลงยันที่นอนไว้ ยืดขาทั้งสองข้าง ไปข้างหน้า หนีบหมอนไว้ที่ปลายเท้าทั้งสองข้าง

ท่าที่ 3 ท่าคว่ำหน้าหนีบหมอน
นอนคว่ำหน้าบนเตียง เงยหน้าขึ้น ใช้ข้อศอกยันไว้ ยกขาทั้งสองขึ้น หนีบหมอนไว้ ยืดจนสุดชนหลัง

ท่าที่ 4 ท่าไขว้ขาลดหน้าท้อง
นอนหงายบนเตียง มือทั้งสองข้างประสานกันไว้ด้านหลัง ยกขาทั้งสองข้างขึ้นข้างบนจนตึง ไขว้ขาสลับซ้ายขวา เกร็งเอาไว้

ท่าที่ 5 ท่าบริหารท้องแขน
นอนหงายบนเตียง ขาทั้งสองยืดตรงปลายขาชิด ใช้มือทั้งสองข้าง จับขวดไว้ แล้วยกขึ้นและลง

ท่าที่ 6 ท่าบริหารข้อเท้า
นอนราบหงายบนเตียง มือทั้งสองข้างวางไว้แนบลำตัว ยกสะโพกขึ้น ขาทั้งสองตั้งตรง สลับข้อเท้าไปมาซ้ายขวาตลอดเวลา

ท่าที่ 7 ท่าบริหารช่วงขา
นอนหงายราบบนเตียง วางมือทั้งสองข้างลงข้างลำตัว ขาข้างหนึ่ง วางยาว อีกข้างหนึ่งยกขึ้นตั้งชันเข่า ทำสลับกันไปมาซ้ายขวา

ท่าที่ 8 ท่าบริหารช่วงไหล
นั่งหลังตรงบนเตียง ขาทั้งสองไขว้กันเหมือนขัดสมาธิ ใช้มือทั้งสองข้าง ดันหมอนเข้าหากันให้อยู่ระหว่างช่วงอก เกร็งเอาไว้

ท่าที่ 9 ท่าบริหารน่อง
นั่งบนเตียง ยืดขาตรงออกไปข้างหน้า ใช้มือทั้งสองข้าง จับผ้าเช็ดตัว ดึงฝ่าเท้าขึ้น ทำสลับทีละข้าง

ท่าที่ 10 ท่าบริหารขาพับ
นอนราบหงายบนเตียง กางมือทั้งสองข้างลงข้างลำตัว ยืดขาตรงข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งวางตั้งฉาบบนที่นอน ให้ฝ่าเท้าชนขาด้านในของขาอีกข้างหนึ่ง

>> เห็นมั้ยว่า นอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ ก็สามารถออกกำลังกายได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ไม่เหนื่อยแรง แถมสวยอีกด้วย ไม่เชื่อก็ต้องลองทำดู แต่มีข้อแนะนำสำหรับการบริหารร่างกายวิธีนี้ก็คือ ควรตั้งใจบริหารร่างกายเต็มที่ซักหน่อย ตามระยะเวลาที่กำหนด อยากจะออกกำลังตอนช่วง ก่อนนอนหรือหลังตื่นนอนก็ได้นะจ๊ะ อันนี้ไม่ผิดกฎกติกา และก็ควรอยู่ในห้องนอนที่ ไม่มีเครื่องปรับอากาศด้วย จะได้เรียกเหงื่อไงล่ะ

>> เวลาออกกำลังกาย ก็ควรมีผ้าอีกสักผืน รองที่นอนไว้ป้องกันเหงื่อไหลไคลย้อยไง อ้อ.. ที่สำคัญ เวลาออกกำลังกายบนเตียงเสร็จแล้ว ก็อย่าเผลอนอนหลับไปอีกตื่นล่ะ หมดสวยกันพอดี
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Tue Mar 16, 2010 10:47 am

8 วิธีดูแลสุขภาพหน้าร้อน



วิธีที่ 1 ไม่ควรกินนำแข็งหรือดื่มนำเย็นจัด ฤดูร้อน อากาศร้อน ต้องหาทางช่วยดับความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนกระทบร่างกายมากเกินไป เป็นหลักการที่ ถูกต้อง แต่วิธีการให้ความเย็นแทนที่ที่มีความเย็น ฯลฯ นับว่าไม่เหมาะสม

วิธีที่ 2 เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะหน้าร้อนจะสูญเสียเหงื่อมาก ควรดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ หรือสมุนไพรอื่น ๆ ก็สามารถเลือกได้

วิธีที่ 3 ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่อแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้

วิธีที่ 4 การนอนพักผ่อน ควรนอนหลับให้เพียงพอ

วิธีที่ 5 อาหารควรจะทานข้าวต้มเพราะเป็นอาหารที่อ่อน เพราะใช่ช่วงเช้ายังไม่คชต้องการจะทานอาหารที่หนัก ๆ ทานพักผลไม้เยอะ ๆ หลักเลลี่ยงอาหารทอดๆ มัน ๆ แห้ง ๆ

วิธีที่ 6 ดูแลสุขถภาพของเด็ก โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย ทางเดิน

วิธีที่ 7 หญิงตั้งครรภ์กับการปฏิบัติตัวในหน้าร้อน คือ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดเนไป

วิธีที่ 8 บุคคล 3 ประเภทที่ต้องระวังให้มาก คนสูงอานุมักมีระบบย่อยที่ไม่ดี คนที่มีม้ามพร่อง ผู้ที่มีลักษณะสามอย่างที่กล่าวมานั้น เมื่อได้รับความร้อนจากแสงแดด ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป และเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย อาการที่แสดงออก คือ ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน ป็นต้น
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Fri Mar 19, 2010 11:10 am

9 วิธีทำดีได้บุญแบบไม่เสียเงิน


๑.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ [/b
ทันทีที่ตื่นนอนหากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่นกระตือรือร้นพร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้วคนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วยถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

๒.ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน
หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตามหน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ถ้าเราเป็นพ่อแม่ ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือนร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านายยิ้มกับลูกน้องๆก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี
ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่าและถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตากว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์

๓.ทักทาย โอปราศรัย
คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้วยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วยซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการคนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วเราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อนการทักทายปราศรัยกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯจะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ
ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆดีขึ้น

๔.แบ่งปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น
ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็กผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์หยุดรถให้คนข้ามถนนหรือรถอื่นไปก่อนช่วยแบ่งเบาภาระงานให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้นการให้ความช่วยเหลือเช่นนี้เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลงและทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย

๕. ปลุกปลอบให้กำลังใจช่วยแก้ไขปัญหาหลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิตและเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัสสิ่งที่ดีที่สุดคือความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจคำพูดดีๆที่มาจากใจจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

๖.ให้คำชมด้วยความนิยมยินดี
การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดีและมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จแต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วยดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม
เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้นเพราะคำชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกำลังใจให้อยากทำดียิ่งๆขึ้นไป

๗.แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่าไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯหากเราจะมีเมตตาแนะนำในสิ่งที่ดีมีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่นหรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่นก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น
และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไปเมื่อเขาทำงานเป็นเราก็ไม่ต้องเหนื่อยมากและเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจหรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามีหรือทราบมาแก่คนไม่รู้จักอย่างแนะนำหมอ ยาดีๆหรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่นทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้นเขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆในชีวิต

๘.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่นโดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่ายและมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆนานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้วเรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตารู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่ายเหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเองเพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้ายไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็นเป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆต่อไป

๙.ฝึกจิตให้สงบและสบายด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆเราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ เช่นกินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสืออยู่ที่ทำงานหัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียวจะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทำให้ขาดสติและทุกๆคืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือโดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆที่เราชอบเสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเองและผู้อื่นตามสมควร
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

กาทู้สาระ - Page 7 Empty Re: กาทู้สาระ

ตั้งหัวข้อ  Keang56 Mon Mar 22, 2010 11:57 am

เชื่อกันว่าทุกคนคงจะคุ้นเคยกับเครื่องดื่มทั้ง 4 ชนิดนี้ดี แต่อาจจะยังไม่รู้ว่าคุณค่าที่แท้จริงของมันมีมากแค่ไหน

1. น้ำใบบัวบก : น้ำใบบัวบกมีวิตามินเอสูงมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้สายตาทำงานหนักอยู่เป็นประจำ เพราะจะช่วยบำรุงสายตาได้อย่างดี และยังมีแคลเซียมและวิตามินบี1 สูงกว่าผักชนิดอื่นอีกด้วย ประโยชน์อื่นๆ ของน้ำใบบัวบกคือ ใช้แก้ช้ำใน แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้ร้อนใน บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ถ้าดื่มทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์จะช่วยลดความดันโลหิตได้ แก้แผลอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว ช่วยขับปัสสาวะ

2. น้ำว่านหางจระเข้ : ประโยชน์ของว่านห่างจระเข้อยู่ที่วุ้นซึ่งมีประสิทธิภาพในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่อยู่รอบๆ แผล และถ้าเอาไปทานก็จะช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้หายอ่อนเพลีย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ แต่เนื่องจากสารสำคัญในว่านหางจระเข้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้สดๆ ดังนั้นเมื่อตัดออกมาแล้วจึงควรใช้ทันที อย่าวางทิ้งไว้ และก่อนใช้ควรล้างยางสีเหลือๆ ออกให้หมดก่อน เพื่อไม่ให้เกิดอาการคันหรือแพ้ในภายหลัง

3. น้ำลูกเดือย : เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส จึงช่วยบำรุงกระดูกได้ดี เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้เจริญอาหารและเหมาะที่เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น คนสมัยก่อนใช้น้ำลูกเดือยเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม แก้อาหารคลื่นไส้อาเจียน และโรคท้องร่วงได้

4. น้ำขิง : อุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน สารเบต้าแคโรทีนในน้ำขิงสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ และยังมีคุณสมบัติเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ คลื่นไส้อาเจียน เมารถหรือเมาเรือ ลดการจับตัวของลิ่มเลือด ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อย ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น
Keang56
Keang56

จำนวนข้อความ : 1692
Join date : 13/10/2009
ที่อยู่ : ในใจน้องๆ(สาว)

ขึ้นไปข้างบน Go down

หน้า 7 จาก 9 Previous  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  Next

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ